จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การแบ่งภาคจิตเพื่อบรรลุธรรมฉับพลันของพระอรหันตโพธิสัตว์

การแบ่งภาคจิตเพื่อบรรลุธรรมฉับพลันของพระอรหันโพธิสัตว์


ดวงจิตมหาโพธิสัตว์เมื่อจุติมาเป็นมนุษย์บำเพ็ญบารมีทั้งส่วนกรรมดีและชั่วแล้ว สะสมทั้งกรรมดีกรรมชั่วมากพอแล้ว ก็สามารถแบ่งภาคออกเป็นส่วนดีและไม่ดีได้ โดยส่วนดีจะเป็นพระอรหันตโพธิสัตว์ ส่วนเลวจะแบ่งออกมาเป็นอสูรพาหนะทรง เช่น มังกรดำ


ขั้นตอนการบำเพ็ญ
๑)    คัดเลือกผู้มีบารมีเก่าแต่หนหลัง คือ จุติมาจากจิตภาคแบ่งของมหาโพธิสัตว์ เมื่อจุติมาแรกๆ จะยังไม่มีบารมีมากนัก ต้องบำเพ็ญบารมีสร้างคุณงามความดีสะสมไว้มากพอก่อนจึงจะฟื้นคืนบารมีกลับขึ้นเป็นโพธิสัตว์ได้ด้วย ทศบารมี นั่นเอง
๒)    สั่งสมทั้งกรรมดีและชั่วมากพอก่อน คือ เด็กที่เกิดมาแรกๆ เป็นเด็กดี แต่ภายหลังถูกบีบให้ทำสิ่งไม่ดี มักเข้าข่ายนี้ เพื่อสั่งสมกรรมเลวให้มากพอที่จะกำเนิดอสูรพาหนะทรง เมื่อแบ่งภาคแล้วจิตที่เป็นโพธิสัตว์จะไม่บริสุทธิ์เกินจนนิพพานไป
๓)    ฝึกวิชชา หยิน-หยาง ประสานดีเลว คือ เมื่อบำเพ็ญบารมีทั้งดีและเลวจนถึงระดับโพธิสัตว์แล้ว ให้บำเพ็ญบารมีด้วยวิชชาคู่ตรงข้ามกัน (วิชชา หยิน-หยาง) จนสามารถประสานคู่ตรงข้ามได้คล่องดีแล้ว ให้แบ่งภาคจิตออกเป็นดีและเลวได้
๔)   ทำพิธีแบ่งภาคออกเป็นดีและเลว คือ ให้ใช้พลังธรรมจักร ดึงพลังทิพย์เข้าในตัวจากเทวรูปที่เป็นมังกรทองหรือมังกรดำตามแต่ต้องการ ถ้าดึงมังกรทองจะได้มังกรทอง จิตที่เหลือจะบริสุทธิ์น้อยหน่อย ถ้าดึงมังกรดำจะได้มังกรดำ จิตที่เหลือจะบริสุทธิ์มาก หากมากเกินไปจะนิพพานไปเอง จิตก็จะแบ่งเป็นสองดวง
๕)   ฝึกการอยู่ร่วมประสานสองดวงจิต คือ ฝึกวิชชา หยิน-หยางต่อ แต่เปลี่ยนจากวิชชาเดิมที่เป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น เป็นการประสานสองดวงจิต จนไม่รู้สึกขัดแย้ง หรือมีสองคนที่แตกต่างกันในตัวเดียว ทำกิจร่วมกันได้อย่างดี ดุจอัศวินและม้าศึกที่มีใจเดียวกัน ก็จะสามารถทำกิจต่างๆ ได้อย่างดี และคุมกันได้ด้วย  


วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กิมท้ง เง็กนึ้ง







รูปเคารพพระโพธิสัตว์กวนอิมมักมีเด็กชายและเด็กหญิงหรือพุทธสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาอยู่เคียงข้างเสมอ โดยถูกเรียกว่า
"กุมารทอง (กิมท้ง)" คือเด็กชายผู้ที่ทุบศีรษะเจ้าหญิงเมี่ยวซ่านจนดวงปราณละสังหารได้นั้นเอง และ "กุมารีหยก (เง็กนึ้ง)" คือสาวใช้ผู้ปวารณาเป็นข้ารับใช้พระองค์ขณะเป็นภิกษุณี บางตำนานว่า กิมท้งคือ บุตรชายคนรองแห่งแม่ทัพหลี่จิ้ง (เทพถือเจดีย์บิดาแ้ห่งนาจา) นามว่า "ซ่านไฉ่"ซึ่งถวายตัวเป็นพุทธสาวกแห่งพระโพธิสัตว์กวนอิม และส่วนเง้กนึ้งบางตำนานกล่าวว่าคือ เจ้าหญิงมังกร นามว่า "หลงหนี่" ซึ่งเป็นพระธิดาแห่งเจ้าสมุทรผัวเจี๋ยหลัวปวารณาตนเป็นพุทธสาวกพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่บางตำนานว่้า ซ่านไฉ่ กับ หลงหนี่เป็นพระโพธิสัตว์เลยทีเดียว โดยมีเทวตำนานดังนี้ ตอนที่เจ้าหญิงหลงหนี่อายุได้ 8 พรรษาได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระโพธิสัตว์เหวินซู (พระมัญชุศรีโพธิสัตว์) บังเกิดเห็นดวงตาเห็นธรรมจึงเสด็จขึ้นจากวังบาดาล ยังชมพูทวีปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ และถวายตัวเป็นพุทธสาวก และต่อมาไม่นานสำเร็จมรรคผลเป็นพระโพธิสัตว์ ส่วนซ่านไฉ่นั้นเป็นบุตร1ใน500คนแห่งผู้เฒ่าฝูเฉิง เกิดเห็นว่าทุกสรรพสิ่้งเป็นสิ่งไม่เที่ยงมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยเหตุนี้ึจึงสนใจศึกษาำพระธรรมโดยได้รับคำชี้แนะจากพระโพธิสัตว์เหวินซู (พระมัญชุศรีโพธิสัตว์) และไำด้รับการสั่งสอนจากพระภิกษุสงฆ์ถึง53รูป ผ่านอุปสรรคต่างๆจนบรรลุสู่การเป็นพระโพธิสัตว์

รูปพระกวนอิมโพธิสัตว์บางรูปจะเห็นองครักษ์ของพระกวนอิม เป็นเด็กสองคนซ้ายขวา แต่บางรูปเป็นขุนพลนายทหารซ้ายขวา ราชองครักษ์ทั้งสี่องค์ คือ

ซ่านฉาย 善財 หรือ สุทธนะ แปลว่าเป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง หรือ หงหายเอ้อ หรือเด็กผิวแดง 紅孩兒 , 红孩儿 หรือเป็นที่รู้จักกันในเรื่องไซอิ๋วว่า เซิ่งยิ๊นไต้หวาง 聖嬰大王 เป็นเด็กชาวอินเดีย ขาพิการมาแต่กำเนิด เขาทราบข่าวว่ามีพระอาจารย์สอนธรรมที่เกาะผู่ถัว เขาจึงเดินทางไปที่นั่นเพื่อไปหาพระกวนอิมโพธิสัตว์ พระกวนอิมได้สนทนากับเขา เพื่อทดสอบเกี่ยวกับพุทธศาสนาและความซื่อสัตย์ ด้วยการร่ายเวทมนตร์ทำให้ดาบสามเล่มกลายเป็นโจรสลัดสามคนวิ่งขึ้นเขาจะไปทำร้ายพระองค์ พระองค์จึงวิ่งไปที่หน้าผาหนีโจรสลัด ซ่านฉายเห็นดังนั้นจึงรีบปีนเขาไปช่วยด้วยการไล่ตามไปกระชั้นชิด ซ่านฉายคลานไปตามหน้าผาเพื่อช่วยอาจารย์ แต่โชคไม่ดีพลัดตกจากหน้าผา แต่พระกวนอิมช่วยไว้ได้แล้วสั่งให้เขาเดินดู ซ่านฉายลองเดินดู ปรากฏว่าขาของเขาเป็นปกติ เมื่อเขามองดูหน้าตาของตัวเองในสระน้ำ ปรากฏว่ารูปหล่อมาก ตั้งแต่นั้นมาพระกวนอิมจึงสอนธรรมให้แก่เขา และเป็นศิษย์ของพระกวนอิมรวมทั้งเป็นองครักษ์ด้วย

หลงหนิ่ว 龍女 เป็นศิษย์อีกองค์หนึ่งของพระกวนอิม เรื่องตำนานมีอยู่ว่า ภายหลังจากที่ซ่านฉายได้เป็นศิษย์แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์ยุ่งเหยิงขึ้นในบริเวณทะเลจีนใต้ จากตำนานดังนี้

ยังมีโอรสองค์หนึ่งของพญามังกรทะเลตงไห่ ซึ่งก็คือตงไห่หลงหวาง โอรสองค์หนึ่งของพระองค์ได้แปลงกายเป็นปลาตัวใหญ่แหวกว่ายไปในทะเลกว้างใหญ่ด้วยความสนุกสนาน แต่บังเอิญไปติดอวนของชาวประมงเข้า ซึ่งองค์ชายวัยเด็กสามารถที่จะแปลงกายเป็นมังกรได้ แต่ด้วยความที่อยากรู้อยากเห็นว่า พวกมนุษย์จับปลาไปแล้วจะทำอะไรบ้าง พระองค์ไม่ทรงวิตกอยู่แล้ว แต่การกลับตรงกันข้าม เมื่อชาวประมงนำปลาใหญ่ขึ้นบนบกแล้วเอาไปขายที่ตลาดสดขายปลา องค์ชายจึงหมดพลังที่จะกลับกลายเป็นมังกรลงน้ำอีกต่อไป จึงร้องเสียงก้องฟ้าสะท้อนผิวน้ำลงไปเมืองบาดาลพระราชวังของพระบิดา

เจ้าแม่กิ้วเทียน

ประวัติ กิ้วเทียน



                 กิวเทียงเนี่ยเนี้ย เป็นเทพสตรีในศาสนาเต๋า ได้ถูกเรียกอีกนามว่า “กิวเทียงเหี่ยงนึ่ง” บางแห่งเรียก “เหี่ยง    นึ่ง”, “หง่วงนึ่ง”, “กิวเทียงเนี่ยเนี้ย” ล้วนแล้วเป็นองค์เดียวกันทั้งสิ้น ท่านเป็นเทพแต่โบราณกาลมีอำนาจ และความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากได้ปกป้องคุ้มครองประเทศ ให้ร่มเย็น ปลอดจากข้าศึกศัตรู เง็กเซียนฮ่องเต้ (เง็กอ๊วงเทียงจุง) จึงได้มีพระราชโองการแต่งตั้ง ให้สมญานามว่า “กิวเทียงเหี่ยงนึ่ง” หมายถึง เทพสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์ทั้ง 9 ชั้น หรือ “กิวเทียงเซี้ยบ้อ”

เนื่องจากท่านเป็นเทพโบราณ จึงพบว่า มีประวัติและตำนานอยู่หลายเรื่อง พอสรุปเป็นสังเขปได้ดังนี้

กิวเทียงเหี่ยงนึ่ง มีลักษณะดั้งเดิมคือ เป็นนกนางแอ่น มีบทกลอนโบราณหนึ่งตามบันทึกในคัมภีร์กวี (詩經) กล่าวว่า “ฟ้าบัญชาให้นกนางแอ่นมาเกิด จุติในราชวงศ์ซาง บ้านเรือนโอ่โถ่งและกว้างใหญ่ กษัตริย์โบราณบัญชาให้รบศึก เขตขันธ์กระจายทั่วสี่ทิศ” กลายเป็นบทกวีร้องในราชพิธีสักการะบรรพชนภายหลังราชวงศ์ซาง ความหมายคือ กษัตริย์แห่งสรวงสวรรค์ได้มีบัญชาให้นกนางแอ่นจุติมาเป็นบรรพชนแห่งราชวงศ์ซาง ให้สร้างความเข้มแข็งต่อกษัตริย์และราชวงศ์ซาง และในบันทึกประวัติศาสตร์จีน(史記) มีได้กล่าวถึงนกนางแอ่นอันเป็นบรรพชนแห่งกษัตริย์ราชวงศ์ซาง ดังนี้ มีหญิงสาวนางหนึ่งเป็นนางสนมของกษัตริย์องค์หนึ่ง นามว่า กังเต๊ก (簡狄) ได้เดินผ่านสระน้ำแห่งหนึ่งได้เห็นนกนางแอ่นตัวหนึ่งกำลังวางไข่ นางสนมกังเต๊กได้กินไข่นั้นเข้าไป และเกิดตั้งครรภ์ขึ้น ต่อมาราชบุตรที่เกิดขึ้นจึงเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ซางอันผูกพันทางสายเลือดกับนกนางแอ่นนี้อยู่

ก่อนราชวงศ์สุย มีหนังสือชื่อ “กษัตริย์อึ่งตี่สอบถามกลยุทธ์วิธีศึกจากเหี่ยงนึ่ง” (黃帝問玄女兵法) ได้กล่าวว่า เหี่ยงนึ่งได้ช่วยเหลือกษัตริย์อึ่งตี่ (黃帝) ในการต่อสู้กับข้าศึกที่ชื่อ ชีอิ๊ว (蚩尤) เหี่ยงนึ่ง ได้แปลงเป็นนกนางแอ่น แม้ว่าจะไม่สามารถกลับสภาพดังเดิมได้ แต่ก็สามารถแปลงกลับมาในรูปครึ่งเทพครึ่งนก และที่สำคัญคือได้ช่วยเหลือให้กษัตริย์รอดพ้นจากภัยพิบัติได้จากสงคราม

อ้างอิงจากคัมภีร์ซัวไฮ่หรือคัมภีร์ไต่ฮวงปักเก็ง (山海經 : 大荒北經) ได้กล่าวว่า “มีมนุษย์ที่มีร่างกายและเสื้อผ้าเป็นสีเขียว มีชื่อว่า อึ่งตี่หนึงลี้ ซึ่งในขณะนั้น ชีอิ๊ว ได้กรีฑาไพร่พลเพื่อรบกันกษัตริย์อึ่งตี่ อึ่งตี่จึงได้มีพระบัญชาให้มังกรมาสู้ ชีอิ๊ว ได้เชิญพระพิรุณมาช่วยโดยปล่อยฝนห่าใหญ่ อึ่งตี่จึงได้อัญเชิญให้เทพหนึ่งลี้หยุดฝน และได้สังหารชีอี๊วได้สำเร็จ” เทพหนึงลี้ก็คือ องค์เหี่ยงนึ่งซึ่งมีกายครึ่งคนครึ่งนกนั่นเอง

รวมวันเกิด วันสำเร็จ วันมรรคผล (บวช) เจ้าแม่กวนอิมทุกปาง

รวมวันเกิด วันสำเร็จ วันมรรคผล (บวช) เจ้าแม่กวนอิมทุกปาง



พระแม่กวนอิมฯ ทุกองค์ จะมีปางประจำตัว แต่ทุกคนไม่ทราบดี ว่า พระแม่ฯ นั้นทรงประทับองค์อะไรบ้าง และมีวันเกิด สำเร็จ ออกบวช วันใดบ้าง



1.พระตั่นเจ็งกอกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมประทับดอกขรรภ์(เซี่ยงฝั่ว) เกิดแรม 18 ค่ำ เดือน 3 จีน

2.พระไซ่ฮู้หลินกวนสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมถือดอกบัวทอง(เจี่ยฝั่วฮัว) เกิดแรม 26 ค่ำ เดือน 4 จีน

3.พระไต่กามเหลงกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมเหยียบมังกร(ไซ่เหลง) เกิดแรม 22 ค่ำ เดือน 2 จีน

4.พระจามเหล็งเฮงกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมประทับมังกร(จุ้ยเหลง) เกิดแรม 26 ค่ำ เดือน 8 จีน

5.พระส่างจื้อกวงอิมสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมถือบุตร(ส่างจื้อ) เกิดแรม 9 ค่ำ เดือน 5 จีน

6.พระเต็งลั้งกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมถือโคมไฟ(เต็งลั้ง) เกิดแรม 16 ค่ำ เดือน 9 จีน

7.พระจุ้ยบ่วงกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมยืนน้ำ(จุ้ยบ๊วง) เกิดแรม 18 ค่ำ เดือน 4 จีน

8.พระเป็กซั่วกวงสี้อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมยืนปรกบัว(เป็กซั่ว) เกิดแรม 26 ค่ำ เดือน 7 จีน

9.พระจุ้ยจื้อกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมส่งบุตร(จุ้ยจื้อ) เกิดแรม 7 ค่ำ เดือน 9 จีน

10.พระซั่วซุ้นกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมถือบัวเขียว(ซั่วซุ้น) เกิดแรม 18 ค่ำ เดือน 7 จีน

11.พระซามไหน่กวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมนั่งบัลลังก์(ซามไหน่) เกิดแรม 26 ค่ำ เดือน 6 จีน

12.พระจุ้ยบ้วยกวงสี้อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมประทับบนน้ำ(จุ๊ยบ่วย) เกิดแรม 30 ค่ำ เดือน 8 จีน

13.พระไท้เถี่ยมกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมยืนบนดวงจันทร์(ไท้เถี่ยม) เกิดแรม 4 ค่ำ เดือน 9 จีน

14.พระไท้เจี่ยวกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมถือพระสูตร"โผ่วมุนพิน" เกิดแรม 8 ค่ำ เดือน 7 จีน บ้างก็ว่าถือสูตรไต่ปุยจิ่ว

15.พระไซ่เถี่ยมกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมโยนดอกบัว(ไซ่เถี๊ยม) เกิดแรม 1 ค่ำ เดือน 2 จีน

16.พระหงังคัวถังกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมถือไม้ทอง(หงังคัว) เกิดแรม 15 ค่ำ เดือน 4 จีน

17.พระหยี่ลักจั๊บกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิม 267 ปาง ถือดอกบัว เกิดแรม 9 ค่ำ เดือน 5 จีน
และหนึ่งในหยี่ลักจั๊บ จะมีองค์"ไซ่ถัวผ่อสัก" เกิดแรม 9 ค่ำ เดือน 5 จีน

18.พระซาจุ้ยบ่วงกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมถือคัมภีร์สามอัน(ซาบ่วง) เกิดแรม 6 ค่ำ เดือน 5-5 จีน

19.พระเหลงอ๋องกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมถือธิดาพญามังกร(เหลงอ๋วง) เกิดแรม 8 ค่ำ เดือน 9 จีน

20.พระจุ๊ยเซงกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมโพยน้ำ(จุ้ยเซง) เกิดแรม 1 ค่ำ เดือน 6 จีน

21.พระฝาเหล่งกวนสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมถือดอกไม้(ฝาเหล็ง) เกิดแรม 1 ค่ำ เดือน 2 จีน

22.พระกิ๊บซัวกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมถือป้าย(กิ๊บซัว) เกิดแรม 2 ค่ำ เดือน 10 จีน

23.พระเป็งซั่วกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมโยนป้าย(เปงซัว) เกิดแรม 4 ค่ำ เดือน 11 จีน

24.พระกิ๊บฮัวกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมเหยียบเงิน(กิ๊บฮัว) เกิดแรม 4 ค่ำ เดือน 12 จีน

25.พระเจ็งแซกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมประจำตระกูล"เจ็ง" เกิดแรม 18 ค่ำ เดือน 10 จีน

26.พระส่างจ้งกวงสี่อิมผ่อสัก เจ้าแม่กวนอิมประจำตระกูล"ส่าง" เกิดแรม 26 ค่ำ เดือน 7 จีน

ประวัตการกินเจ

            ประเพณีถือศีลกินเจหรือกินเจซึ่งเป็นพิธียันตรกรรมบูชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยอาศัยพระแม่แห่งดวงดาวมารีจี 摩利支 ในแบบของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน แต่ในทางลัทธิเต๋าเรียกว่า เต้าโบ้หงวนกุนหรือเต้าโบ้เทียนจุน 斗姆元君,斗姆天尊 ในภาษาฮกเกี้ยน เป็นศูนย์กลางสมมติของพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้ มักอิงประวัติผูกติดอยู่กับฝ่ายตำนานเทพแห่งดาวนพเคราะห์มากกว่า ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งลัทธิเต๋า ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่เมืองจีน นับจากนั้นเป็นต้นมาเมื่อพระพุทธศาสนาเจริญขึ้น จึงปรากฏตำนานความเชื่อที่ผูกโยงกับพระพุทธเจ้า 9 พระองค์และพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ เรียกว่า กิ้วอ๋องฮุดโจ้ว 九皇佛祖 ในภาษาจีนแต้จิ๋ว โดยคติความเชื่อในประเพณีของชาวจีน โดยเฉพาะลัทธิขงจื้อซึ่งเน้นในเรื่องบรรพบุรุษและความกตัญญู บรรดาบูรพกษัตริย์ที่เคยอุทิศตนเพื่อให้ประชาชนมีความเจริญโดยใช้หลักเมตตาธรรมก็จะเป็นบุคคลผู้ได้รับการสรรเสริญจากประชาชน ตามตำนานสามารถรวบรวมได้ 9 พระองค์ ซึ่งอยู่ในยุคสมัยต่างๆกัน ทั้ง 9 พระองค์รวมเรียกว่าพระราชาธิราช 9 พระองค์ ในภาษาจีนฮกเกี้ยนเรียกว่า : กิ๋วอ๋องไต่เต่ , 九皇大帝 ซึ่งชาวจีนเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นธรรมชาติและดำเนินไปตามวิถีแห่งสวรรค์ อาศัยตามความเชื่อในลัทธิเต๋า จึงส่งผลให้เกิดการนับถือดวงวิญญาณที่สถิตอยู่ในสรวงสวรรค์ พระเจ้าแผ่นดินทั้งเก้าพระองค์เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ได้ประกอบกรรมดีมากมาย เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วจึงได้จุติเป็นเทพเจ้าประจำดาวนพเคราะห์ ทำหน้าที่คุ้มครองมวลหมู่ประชาราษฎร์ให้บังเกิดความร่มเย็นสืบไป


ตำนานเกี่ยวกับการกินเจ

ตำนานที่ 1
กล่าวกันว่า การกินเจเริ่มขึ้นเพื่อรำลึกถึงนักรบ "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งเป็นทหารชาวบ้านของจีนที่ต่อสู้ต้านทานกองทัพแมนจูอย่างกล้าหาญ ฝ่ายแมนจูมีปืนไฟของชาวตะวันตกที่ฝ่ายจีนไม่มี นักรบหงี่หั่วท้วงเหล่านี้จะประกอบพิธีกรรมนุ่งขาวห่มขาว ไม่กินเนื้อสัตว์และผักที่มีกลิ่นฉุน และท่องบริกรรมคาถาตามความเชื่อของจีน เชื่อกันว่าจะสามารถป้องกันปืนไฟได้ แต่ก็ไม่ประสบผล ครั้นจีนพ่ายแพ้แมนจู ชายชาวจีนถูกบังคับให้ไว้ผมอย่างชาวแมนจู ซึ่งสร้างความคับแค้นให้แก่ชาวจีนอย่างมาก ชาวจีนจึงรำลึกถึงนักรบหงี่หั่วท้วงเหล่านี้ด้วยสำนึกในบุญคุณ

ตำนานที่ 2
เพื่อเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ดาวนพเคราะห์” ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อสัตว์และแต่งกายด้วยชุดขาว

ตำนานที่ 3
ผู้ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีลกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์(หรือ “เก้าอ๊อง”)ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาติดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ
ตำนานที่ 4
กินเจเพื่อเป็นการบูชา“กษัตริย์เป๊ง”ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง การที่เผยแผ่มาสู่เมืองไทยได้นั้นเพราะชาวจีนจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่

ตำนานที่ 5
1500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็งและมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัวโอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ
จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วยแต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณเห็นว่าควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญ ลีฮั้วก่าย
คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบเศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืนผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตามจนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย
เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไสจึงได้ศึกษาตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธีเชี้ยยกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญเง็กเซียนฮ่องเต้มาเป็นประธานในพิธี)

ตำนานที่ 6
ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมากเพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น
ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็งจึงขอตามนางไป
เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น

การบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม

                     เจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ (อวโลกิเตศวร) เป็นพระโพธิสัตว์ผู้มีพระเมตตา เพราะท่านไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เหมือนพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ แต่ทรงแบ่งภาคได้หลายภาค เพื่อมาโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เคล็ดลับวิธีการบูชาเจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์
ทรงเอื้ออารีแก่มวลมนุษย์ที่ได้กราบไหว้บูชาให้ประสบผลสำเร็จอันพึงปรารถนาได้อย่างน่ามหัศจรรย์ กล่าวกันว่าท่านสามารถช่วยปัดเป่าความทุกข์ภัยพยันตรายให้ท่านที่เดือดร้อน โดยตั้งจิตอธิษฐานให้แน่วแน่ ก็จะได้ผลสำเร็จอันพึงปรารถนาทุกประการ
การบูชาที่บ้านก็ ครั้งแรกให้ไหว้ด้วยดอกบัวสีชมพู หรือขาว 9 ดอก ธูป 9 ดอก เทียน 2 เล่ม ส้ม สาลี่ อย่างละ4ผล เพิ่มผลไม้อะไรก็ได้ (ห้ามมะม่วง มังคุด พุทรา) ขนมเปี๊ยะหรือไหว้พระจันทร์ น้ำชา 4 ถ้วย ซิ่วท้อด้วยก็ได้ถ้ามีเวลาสวดมนต์ก็ถวายประคำด้วย 1 เส้น
วันธรรมดาก็ น้ำชา ผลไม้ เท่าไหร่ก็ได้ การตั้งโต๊ะ ตรงไหนไว้ที่หิ้งพระก็ได้ แต่ต้องวางไว้ต่ำกว่าพระพุทธรูป สูงกว่าพระสงฆ์ ใกล้มหาเทพได้ ส่วนการหันท่านขึ้นกับดวงชะตาราศีเกิดของผู้บูชา 
หลังจากนั้น เริ่มการสวดด้วยการตั้งนโม 3 จบ แล้วสวดบทสวดเจ้าแม่กวนอิม 3 จบแผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ ก็เสร็จแล้ว เพราะจิตบูชาเป็นสำคัญ ถ้าคิดจะตั้งบูชาเจ้าแม่กวนอิม แล้วต้องงดทานเนื้อวัว และห้ามถวายอาหารที่มีเนื้อสัตว์ต่อท่านโดยเด็ดขาด
มีเรื่องเล่ากันมานานแล้วว่า ท่านใดที่ขอให้ท่านช่วย แล้วถวายตัวเองโดยตั้งสัตย์และจิตอธิษฐานว่า จะไม่กินเนื้อวัวตลอดชีวิต ท่านก็จะช่วยให้สำเร็จทุกประการ เพราะการไม่กินเนื้อสัตว์นั้น ช่วยให้กรรมบางอย่างระงับไปเพราะไม่มีการฆ่าสัตว์นั้นอีก


วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

โอวาทของพระโพธิสัตว์กวนอิม

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิม
เมตตาให้ประจักษ์ถึงบาปกรรมของการทำแท้ง


ความเจริญทางวัตถุในปัจจุบันเติบโตรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัดแต่ทางตรงข้ามมโนธรรมสำนึกของมนุษย์กลับย่ำแย่ลงทุกวัน...คนทุกวันนี้ต่างต้องเผชิญกับปัญหาหลายๆ ด้าน จนทำให้ศีลธรรมอันเป็นสิ่งที่ดีงามในจิตใจของมนุษย์นั้นนับวันยิ่งเสื่อมถอยเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผู้คนต่างหมางเมิน ไม่ได้ให้ความสำคัญในด้านคุณธรรมและศีลธรรมเท่ากับการดิ้นรนขวนขวายเพื่อปากท้อง การทำมาหากินอย่างเดียวยังไม่ได้ช่วยชีวิตจิตญาณของเราให้พ้นไปจากความทุกข์อันระทมขมขื่น เมื่อชีวิตประสบปัญหา ผลกระทบย่อมส่งไปถึงครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
เมื่อครอบครัวแตกร้าว ความรัก ความอบอุ่น ความสุขในครอบครัวก็สูญสิ้น ความรู้สึกเหงาและเดียวดายมาห้อมล้อมแทนที่ เมื่อลูกๆ ขาดที่พึ่งจึงไปแสวงหาความรักความอบอุ่นนอกบ้าน ซึ่งล้วนเป็นความรักที่ฉาบฉวยไม่จริงใจ จนในที่สุดพลาดพลั้งเกิดตั้งครรภ์ ด้วยขาดสำนึกรับผิดชอบและความไม่พร้อมในการเลี้ยงดู จึงตัดสินแก้ปัญหาโดยการทำลายชีวิตทารกน้อยในครรภ์ด้วยการ ทำแท้ง...สังคมในปัจจุบันกาทำแท้งนับวันยิ่งทวีจำนวพากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนนักศึกษาวัยรุ่น มีการทำแท้งมากที่สุดอย่างน่าตกใจ ข่าวล่าสุดทางหน้าหนังสือพิมพ์ได้รายงานว่าขณะนี้ที่ประเทศญี่ปุ่นมีการทำแท้งทารกในครรภ์มากถึง 40 000 คนต่อปี..ที่น่ากลัวไปกว่านั้นในประเทศอินเดียจากผลการศึกษาของทีมนักวิทยาศาสตร์ ระบุอาจมีทารกเพศหญิงในอินเดียถูกทำแท้งมากถึง 10 ล้านคนในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา...
รายงานดังกล่าวเผยแพร่ใน แลนเซ็ตวารสารทางการแพทย์อันโด่งดังของอังกฤษ ดร.ประพัท ชฮา หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ระบุผลการประเมินแต่ละปีจะมีทารกเพศหญิงหายไป 5 แสนคน ขณะที่สมาคมแพทย์อินเดียประเมินมีทารกอินเดียถูกทำแท้งปีละราว 5 ล้านคน